หน้าแรก

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ใคร่คร่ำครวญ


ใคร่คร่ำครวญ
.
เป็นเพราะรักมักหวนชวนละห้อย
เป็นเพราะถ้อยร้อยเรียงสำเนียงฝืน
เป็นเพราะใจไร้ฝันมายันยืน
เป็นเพราะกลืนไร้รสกำสรดทรวง
.
คร่ำครวญคอยใครคู่อยู่แห่งหน
คร่ำครวญจนหม่นหมองทำนองห่วง
คร่ำครวญคิดจิตจำคำเขาลวง
คร่ำครวญพ่วงพิศวาสดั่งขาดใจ
.
แสนสงสารหวานคำเขาทำเฉย
อยากชื่นเชยชิดชอบตอบไฉน
รักข้างเดียวเปลี่ยวแสนคนแดนไกล
เกินคว้าไขว่เข้าครองคล้องกมล
.
รักเขาเพลินเกินไปใจเกลือกกลั้ว
ไม่รักตัวรักมั่นนั้นเป็นผล
จึงคร่ำครวญล้วนเหตุอาเพศดล
สุดหมองหม่นล้นเหลือ..เมื่อรักลา
.



ใกล้แล้วแนวแสงทอง


ใกล้แล้วแนวแสงทอง
.

ล้วนต่างมอบตอบคำอันล้ำค่า
ด้วยเมตตาจากตนล้นรักห่วง
กลั่นจากจิตคิดมั่นสรรดาวดวง
มอบเป็นพวงให้พร้อมล้อมอาทร
.
หามีใครไหนเคียงดังเยี่ยงเจ้า
ที่คอยเฝ้าคอยใฝ่ไม่ถอดถอน
หามีใครไหนรักจักอาวรณ์
ไม่จากจรจากไกลให้เศร้าตรม
.
มอบห่วงหามาฝากมากหวังผล
หวั่นกมลจะเหงาเฝ้าขื่นขม
มอบคำหวานขานถ้อยร้อยชื่นชม
อยากให้สมให้สุขทุกคืนวัน
.
ใกล้ถึงปลายสายทางวางรักซึ้ง
ใกล้เป็นหนึ่งสองเราเฝ้ามุ่งมั่น
ใกล้ครบเครื่องเรื่องรักปักสัมพันธ์
ใกล้สุขสันต์สุขสมอารมณ์ปอง
.
หากจะกลับนับวันที่ผันผ่าน
แสนเนิ่นนานหลายปีที่สนอง
จวบวันนี้ที่หวังยังเรืองรอง
รักสมสอง ใกล้แล้ว..แว่วจำนรรจ์
.




ดั่งคืนนี้..กี่ปีที่รอคอย


ดั่งคืนนี้..กี่ปีที่รอคอย
.
เพียงชั่วคราวพราวแจ้งแสงเทียนส่อง
กลิ่นธูปล่องลอยไปในละหาน
ตา-มองตามยามปล่อยลอยสายธาร
เพียงไม่นานกระทงน้อยคล้อยลับตา
.
อธิษฐานการใดคงได้สม
ความหมองตรมคงไกลไม่สืบสา
รับสิ่งใหม่ให้สุขทุกเวลา
ตามต่อมามากมิ่งล้วนสิ่งดี
.
กระทงลาพาแสงอ่อนแรงลับ
สายลมขับดับไฟไร้แสงสี
หวังเวรกรรมคำขมาหน้าชลธี
จะหลีกลี้หนีไปไม่ย้อนคืน
.
หันหลังให้ใจอิ่มด้วยยิ้มแย้ม
เดือนยังแจ่มจับใจให้ชุ่มชื่น
ดาวยังล้อมห้อมห่อต่อยงยืน
ดั่งเริงรื่นเริงร่านภางาม
.
แล้วผ่านไปไหลเลยเหมือนเคยครั้ง
ในภวังค์ยังหวนชวนวาบหวาม
กี่ปีนับลับลาคืนฟ้าคราม
ไร้คนงามตามเรียง..เคียงกระทง
.
ขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบสอง..กี่คลองคบ
จะบรรจบจุดฝันอันประสงค์
กี่ค่ำคืนยืนปองน้องอนงค์
จะจบลงด้วยชื่น..ในคืนนี้
.



ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒



ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒
.

คืนจันทร์เพ็ญเย็นนวลมวลสีแสง
บ้างจำแลงแปลงลักษณ์จักเจิดจ้า
เพ็ญสิบสองเดือนงามอร่ามตา
กลางชลาวิบวับสลับพราย
.
ลอยกระทงคืนนี้งามสีสัน
เคียงคู่กันสองเราเฝ้ามั่นหมาย
อธิษฐานขานถ้อยร้อยเรียงราย
สบประกายสายตาเจิดจ้าจินต์
.
เถิด..ขมา..ชลาลัยใดก้าวข้าม
ทุกข์ใดตามลามผลกมลผิน
ทั้งเผลอบ้างบางครั้งดั่งเคยชิน
หวังได้ยินกลิ่นร่ำ คำอภัย
.
ยอกระทงตรงเศียรจุดเทียนส่อง
ควันธูปล่องลอยนำฉ่ำไฉน
ลมอ่อนโยนเยื่องย้ายคล้ายสั่นไกว
กลางฤทัยใสงามตามคำวอน
.
บรรจงวางกระทงลงเคียงคู่
ให้รับรู้สู่เสียงสำเนียงอ้อน
ให้นทีนี้สดับอย่าลับจร
โปรดอาทรพรพาอย่าลาไกล
.
จากคืนนี้มีฝันอันแสนฉ่ำ
สุขน้อมนำล้ำรสสดแจ่มใส
เริ่มชีวาพาชื่นทุกคืนไป
ดุจกระทงลงไหล ในวารี
.



๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

ไม่เชื่อใคร


ไม่เชื่อใคร
.
“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ดูเหมือนห้าม
ออกปากปรามอย่าเกลียดและเหยียดหยัน
หากไม่เชื่อเหลือรับจับจำนรรจ์
สิ้นสุดกันเพียงรู้อยู่ในใจ
.
เพราะต่างคนล้นบ้างต่างสำนึก
เพราะต่างตรึกต่างตรองทำนองไหน
เพราะต่างสรรปัญญามานำไป
เพราะต่างใครต่างคนเหตุผลมี
.
อีกคนเชื่อเหลือล้นจนเกินปรับ
เราไม่ขับไม่ข่มเข้าถมที่
เราไม่แย้งแกล้งกลบลบไมตรี
เก็บวจีเก็บคำไม่ร่ำไร
.
เชื่อหรือเปล่าเราอ่านประมาณค่า
มีศรัทธาด้วยหรือคือสิ่งไหน
ตัวของตนคนเชื่อเหนืออื่นใด
ก็พอใจเพียงนั้นอย่าผันแปร
.
ไม่ลบหลู่ผู้ใดให้เคืองขุ่น
เรื่องบาปบุญคุณธรรมเกินนำแก้
ปล่อยตามทางต่างเคียงเพียงคอยแล
ล้วนตามแต่แท้จริงสิ่งที่เป็น
.
ไม่เชื่อใครใจตนเป็นคนบอก
ใดกลับกลอกกลับเกยล้วนเคยเห็น
ไม่เชื่อใครไหนหลอกบอกประเด็น
มองดุจเป็นลมพลิ้วปลิวรำเพย
.



มองทะลุฉาก



มองทะลุฉาก
.
ทั้งหน้ากากฉากเสริมเติมหัวโขน
กล้าผาดโผนโยนตัวรัวกระหน่ำ
ไม่ปรานีปราศรัยไส้ระกำ
เหมือนดั่งค้ำเอวท้า ท่าลำพอง
.
เล่นตามบทจรดแจ้งแสดงเถิด
เพราะเขาเชิดฉิ่งฉับรับสนอง
เต้นตามไปให้ทันนั้นทำนอง
มากแซ่ซ้องร้องโห่เพราะโชว์ดี
.
หลงระเริงเปิงเปิดว่าเลิศนัก
เป็นตัวหลักของเรื่องเรืองวิถี
หากจริงแท้แค่เล่นเป็นพิธี
จบบทนี้บทใหม่เปลี่ยนไปแล้ว
.
รู้ไม่ทันหวั่นไหวในหัวอก
ตัวตลก-ตก ลาย หายใจแผ่ว
ไร้คนเชิดเปิดหน้าระอาแนว
ใสแสงแก้วแววดับกลับซมซาน
.
ต้องรู้ค่าสถานะประโยชน์เห็น
ว่าใดเป็นมิตรผลคนขับขาน
ใครแอบอ้างวางหมากมากกระดาน
ใครอ้อยตาลหวานย้อมให้ดอมดม
.
มองทุกฉากหลากแสงแต่งประกอบ
มองความชอบความชังใดสั่งสม
มองก้นบึ้งถึงแก่นแสนคารม
มองใดข่มใดขืน ให้ตื่นตัว
.


รู้ให้ทันมันลึกซึ้ง


รู้ให้ทันมันลึกซึ้ง
.
ล้วนแต่สร้างวาทะกรรมให้ล้ำลึก
จะคักคึกหรือสู้รู้ขานไข
ต้องดุนดันมั่นผลบนหัวใจ
อย่าแต่ใช้วาจา พาฮาเฮ
.
วาทะกรรมล้ำรสเป็นบทอ้าง
เป็นช่องทางแต่งคำพร่ำสรวลเส
วางเป็นผู้รู้ผังไม่ลังเล
อยากถ่ายเททั่วถึง หนึ่งคำคม
.
วาทะกรรมทำอย่างที่ข้าฯ พูด
ผลพิสูจน์ควรค่าแสนสาสม
อย่าเอาอย่างข้าฯ ทำ นำนิยม
เพราะคำคม- คำข้าฯ ผิดฝากัน
.
จึงตรงข้ามยามคนขนวาทะ
มากรอยปะรอยปรุมุสานั่น
เรื่องของตนล้นชั่วตัวเกี่ยวพัน
แต่กลับหันเหห่างข้างตะแคง
.
บ้างกลบเกลื่อนเลือนไปทำไม่สน
ตดของตนล้นเหม็นทำเป็นแกล้ง
ตีหน้าตายคล้ายสิ้นกลิ่นสำแดง
คือตะแบงแสร้งเสเพทุบาย
.
จึงทุกทางอย่างไรให้รู้ซึ้ง
รู้ก้นบึ้งตรึงตนบนมุ่งหมาย
วาทะกรรมล้ำค่าอย่างมงาย
ปรุงใจกายของตน บนทางธรรม
.



๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

หนองหารที่หวานรัก


หนองหารที่หวานรัก
.
โอ้...หนองหารนานปีที่ไกลห่าง
ต้องแรมร้างบ้านเดิมที่เริ่มต้น
ได้เติบใหญ่ใฝ่ฝันอันมงคล
เป็นกุศลของชะตาถิ่นนาคร
.
กว่าสิบปีที่ผูกเป็นลูกหลาน
ต่อสายธารสุขสันต์ไม่ผันผ่อน
ดำรงตนบนธรรมล้ำอาทร
ด้วยคำสอนองค์พุทธสุดบูชา
.
เป็นเมืองแห่งแหล่งศาสน์ปราชญ์สร้างสรรค์
เป็นเมืองแห่งอรหันต์อันล้ำค่า
เป็นเมืองแห่งแจ้งใจในเมตตา
เป็นเมืองแห่งพุทธบูชาศรัทธาชน
.
งามล้ำจริงสิ่งสื่อคือสาวสวย
งามล้ำด้วยสำเนียงฟังเพียงหน
คำภูไทใสซื่อระบือคน
งามละเบ๋องามล้นจนจับใจ
.
ริมหนองหารสานฝันย้อนวันเก่า
ตามร่มเงาคลอเคียงเสียงสั่นไหว
แสงเดือนแจ่มแย้มยิ้มพริ้มวิไล
ยามเคียงใกล้รวยรินกลิ่นนวลนาง
.
จวบวันนี้ดีใจได้หวนกลับ
มาซึมซับกลิ่นเก่าที่เราห่าง
พร้อมคนดีที่หมายบนปลายทาง
หมายมาสร้างรักก่อน ให้ย้อนคืน..
.



กราฟชีวิต


กราฟชีวิต
.
กราฟชีวิตขีดเส้นเล่นตลก
เดี๋ยวเส้นยกเส้นหล่นปนจนหลง
ทุกช่วงปีมีเปลี่ยนเขียนให้งง
ส่วนฉันคงเหมือนเดิมเติมแต่จน
.
ปีนั้นเลิศเกิดสุขสนุกแสน
อีกปีแค้นต่ำตกอกถลน
แต่ฉันยังอยู่ได้ไม่วายชนม์
กราฟของตน ไฉน..ไม่เห็นงาม
.
ช่างมันเถิดเกิดดี-ก็มีดับ
สิ่งได้รับมากล้นบนคำถาม
ทั้งสุขทุกข์ดีชั่วทั่วเขตคาม
คือนิยามความจริงสิ่งต้องเจอ
.
ไม่ได้กลัวสิ่งใดไหวหลีกหลบ
ทุกอย่างจบด้วยตายหมายเสมอ
ระหว่างชีพคงยั้งดั่งฉันเธอ
อย่าพลั้งเผลอทำชั่วต่ำตัวตน
.
มีเส้นทางไหนเรียบเฉียบตลอด
ต้องแทรกสอดอุปสรรคก่อนมรรคผล
ทุกก้าววางอย่างรู้สู่กมล
ไม่อับจนพ้นผ่าน..จวบวารวาย
.



๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คน..ผู้ป่นโลก


คน..ผู้ป่นโลก
.

ก่อการร้ายสายทางที่อ้างเอ่ย
ละเลงเลยขานค่าเข้าถาโถม
มองมุมไหนในโลกดูโศกโทรม
พายุโหมทั่วหล้าประชาชน
.
ต่างวางแผนแค้นนักต้องหักล้าง
ไม่มีทางเยียวยาพาหมองหม่น
เลือดล้างเลือดเดือดดาลปานไฟลน
ภัยผองชนคือตายสายทางเดียว
.
เหมือนปัญญาหาทางสร้างสันติ
มันไม่ผลิมาให้ได้เฉลียว
มีแต่แค้นแสนแค้นแน่นใจเจียว
โลกบิดเบี้ยวโศกเศร้า เขาจองเวร
.
ต้องนับศพพบซากอีกมากครั้ง
บ้านเมืองพังคลั่งฆ่าพากันเผ่น
อพยพหลบภัยไร้กฎเกณฑ์
ลูกหลานเหลนไร้บ้านลานเลือดนอง
.
โลกคือแผ่นแดนดินให้กินอยู่
กลับล้างหมู่ล้างคนจนตายล่อง
เกิดมาฆ่าล่ากันผันปรองดอง
เป็นมันต้องตายสิ้นจึงยินดี
.
สัญชาติญาณนักฆ่าล่าถนัด
เกินกว่าสัตว์ เดรัจฉานด้านวิถี
นั้นคือคนบนดินสิ้นไมตรี
มันมากมีอาฆาต อนาถคน
.