หน้าแรก

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กาพย์ดุจอาบมนต์



กาพย์ดุจอาบมนต์
.
คร่ำครวญทวนภาพวาบหวิว....ปลายแผ่วแถวทิว
แลลับกับตาพร่าเลือน
ย้อนย้ำคำขาดปาดเฉือน....เจ็บช้ำคำเตือน
ไม่สนคนห่วงดวงใจ
ปล่อยตัวปล่อยตามหวามไหว.....เห่หาพาไป
หมายทางสร้างฝันวันคืน
ยิ่งตามยิ่งหมายคล้ายฝืน.....ทนกล้ำทนกลืน
คำหวานผ่านวันนั้นขม
ดวงแดแลลานซานซม.....ใครไหนระบม
เจ็บแค้นแสนชังพลั้งไป
เดินหน้าก็ล้าแรงใจ.....ย้อนกลับดับไฟ
ก็โหมโทรมทรวงดวงแด
ระกำถลำซ้ำแผล.....หาใครไหนแล
ต้องตรมระทมเดียวดาย
ลุกยืนฝืนตรงทรงกาย......เดินกลับลับหาย
ตามองเพียงก้าวคราวนี้
....



ผนึกตรมให้ขมทรวง


ผนึกตรมให้ขมทรวง
.
เวลาห่างบางคราวช่างร้าวราน
เกินประมาณขานไขดวงใจเหงา
..ไม่ห่างไปไม่ซึ้งถึงหนักเบา..
ว่าความเศร้าเข้าคลุมกลุ้มเพียงใด
.
รับรู้รสจดจำกล้ำกลืนผล
ราดรดตนจนเหม่อดั่งเผลอไผล
สายตาลอยคล้อยแสงหมดแรงใจ
ดั่งปล่อยไปตามยะถาชะตากรรม
.
ให้อ้างว้างทางฝันสุดปั่นป่วน
แตกขบวนหวนหาพาระส่ำ
วนวุ่นวายกายจิตติดจองจำ
โดนกระหน่ำซ้ำซากจากอารมณ์
.
มองวิถีที่กลับเกินสับสน
ไร้ผู้คนบนทางร้างสุขสม
สุดสะท้อนร้อนใจให้ตรอมตรม
เกินจะข่มถมทุกข์ที่ซุกทรวง
.
ไม่อยากห่างต่างไกลให้หวนหา
ไม่อยากพร่ำพรรณนาว่าแสนห่วง
ไม่อยากฝากฟากฟ้าพาเดือนดวง
ไม่อยากจากพุ่มพวงให้ล่วงเลย
.
บันทึกไว้ได้จำฉ่ำไฉน
ล้วนหวนให้ใจสะท้อนย้อนเฉลย
วันพลัดพรากจากกันนั้นไม่เคย..
ให้ใจเอย..เชยชื่น..ล้วนขื่นทรวง
.




เหลือถลำ


เหลือถลำ
.
เหลือ อะไรไหนมีที่ยังผล
ไม่เหลือคนสนเราเขาหลอกหลอน
เปรยคำขานหวานเจือเหลืออาวรณ์
แสร้งสะท้อนอ้อนเหลือเมื่อพาที
.
ปากเสแสร้งแปลงเกลือว่าเหลือหวาน
เหลืออาการซ่านทรวงดวงฉวี
สุดเหลือทนล้นเลิศเถิดวจี
เธอโสภีดีเหลือแม่เกลือแกง
.
สำลักเหลือเกลือหวานเนิ่นนานนัก
ทุ่มแรงรักหนักเหลือเมื่อแสวง
ใครไหนห้ามตามขัดเหลือจัดแจง
ต่างอ่อนแรงแล้งเหลือไม่เชื่อคำ
.
เหลืออาลัยใครขอต่างท้อถอย
ต่างก็ปล่อยลอยเรือเหลือถลำ
ตัดหางปล่อยถ้อยเฝือเหลือชี้นำ
เหลือให้ช้ำหนำใจได้บทเรียน
.
แล้ววันนี้มีใครไหนเหลือบ้าง
ต่างหลีกทางห่างเหลือเมื่อแปรเปลี่ยน
อ้างว้างเหลือเจือสมอารมณ์เซียน
เหลือใครเวียนเขียนถ้อยร้อยอาวรณ์
.
เพียงหน่อเนื้อเหลือตนคนหม่นหมอง
เหลือใครปองคล้องนำด้วยคำอ้อน
ต้องเดียวดายร้ายเหลือเมื่อจบตอน
ร่างสะท้อนร้อนเหลือ..ดั่งเจือไฟ..
.



ยังไม่ถอย ยังคอยครอง



ยังไม่ถอย ยังคอยครอง
.

ทุกก้าวย่างทางนั้นสั้นลงแล้ว
เดินตามแนวแวววามแสงงามสื่อ
ใกล้ถึงปลายสายสุดไม่หยุดยื้อ
หมายมั่นคือถือครองในสองกร
.
แต่วันนี้ที่ก้าวน้าวไม่ถึง
เหมือนร่างตรึงดึงผิดติดสังหรณ์
หรือทางก้าวยาวต่อ งอบางตอน
หรือซับซ้อนซ่อนปมถมทางไป
.
ออกแรงเพิ่มเติมฝันกัดฟันสู้
ก่นเสียงกู่รู้ตนหม่นไฉน
ระบายลมขมขัดกัดกินใจ
เฝ้าฝันใฝ่ไม่ท้อระย่อทาง
.
กระซิบใส่ใจตนอดทนหน่อย
กระซิบบ่อยคอยเร้าเผาหม่นหมาง
กระซิบลมพรมพลิ้วปลิวหมอกบาง
กระซิบอย่างบ้างเหงามาเร้ารุม
.
อยากปลดปล่อยรอยก้าวที่ยาวแสน
อยากร้องแถนแค้นใจดั่งไฟสุม
อยากร้องว่าฟ้าฝนให้จนมุม
อยากระบายคล้ายกลุ้มมันคลุมทรวง
.
จึงทางก้าวยาวไกลได้พบผ่าน
มากอาการลานลนเหมือนคนป่วง
ความกดดันนั้นหลากจากสิ่งลวง
จนบางช่วงดวงจิตแทบปลิดปลง
.
ยังไม่ท้อรอแรงเติมแสงส่อง
รอแสงทองคล้องพาหาไหลหลง
ยังไม่ถอยร้อยร่ำคือจำนง
ว่ายังคงตรงต่อ รอรักครอง..
.



ใกล้แล้ว



ใกล้แล้ว
.
ณ ที่ยืนคืนค่ำนั้นดำมืด
ขยับร่างอย่างฝืดอืดสนอง
ไม่เห็นแสงแห่งหมายสายตามอง
แสนหม่นหมองต้องระทมขมในทรวง
.
สุดวังเวงเร่งรุมสุมไฟรม
ร้อนซานซมตรมตนเหมือนคนป่วง
ทุรนทุรายกายผ่าวร้าวแดดวง
หายใจบาดขาดช่วงจะล่วงลับ
.
คืนไร้เดือนเกลื่อนตาดาราฉาย
ดาวเรียงรายปลายฟ้ามาขานขับ
เหมือนเป็นเพื่อนเยือนเย้าเหงาระงับ
แต่แดนดินสิ้นดับกับมืดมน
.
ต้องอีกครั้งนั่งมองปองแสงฉาย
พลันประกายปลายฟ้าพาฉงน
มีแสงงามยามจ้องปองกมล
บันดาลดลจนจิตอยากชิดชม
.
แต่ละวันหันจ้องเฝ้าปองหมาย
ตามสุดสายปลายแสงจำแลงสม
งามเจิดจ้าน่าจองคล้องภิรมย์
ช่างกล่อมกลมพรมอรุณอุ่นละมัย
.
หากกลับกลายคล้ายมือเกือบยื้อถึง
ห่างเพียงหนึ่งองค์คุลีนี้ไฉน
ขาดสัมผัสขัดสนหม่นหัวใจ
เอื้อมต่อไปใกล้แล้ว..แจ้วเสียงเชียร์
.



๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๘

เป็นห่วงหรือล่วงทุกข์


เป็นห่วงหรือล่วงทุกข์
.
ต่างเชื่อกันอันนิพพานวิมานสม
ล้วนชื่นชมคมคำฉ่ำไสว
เหมือนคนเล่าเขาเฉลยนั้นเคยไป
ล้วนเร่งเร้าหัวใจให้ยินยล
.
บอกเล่ากันฉันเธอเสมอว่า
ให้ศรัทธาพาเดินเพลินกุศล
หมั่นทำดีมีบุญหนุนนำดล
ผลาผลล้นแสนสู่แดนทอง
.
เป็นอุบายสายธรรมนำไฉน
ด้วยเหตุใดได้เห็นเป็นสนอง
ไม่เป็นอื่นคืนเปลี่ยนเวียนทำนอง
จึงไม่ปองของใหม่..ไม่นิพพาน
.
รู้เมื่อให้ได้บุญเป็นดุลข้าง
บุญกระจ่างกลางใจให้สนาน
บุญคือใจได้สุขทุกช่วงกาล
ไยขับขานการตายคือปลายทาง
.
ยังไม่แจ้งแคลงใจในสร้างสม
ไยระทมจมจิตติดหม่นหมาง
กายตายดับกับดินเดี๋ยวกลิ่นจาง
เห็นกระจ่างทางสิ้นทั้งอินทรีย์
.
ยังเป็นห่วงช่วงตายยังหมายสุข
ให้ปล่อยวางห่างทุกข์สร้างสุขี
เหตุไฉนไม่ปลงส่งฤดี
ตายเป็นผีมีใครไหนกลับคืน
.




ไม่เชื่อใจใครเลย


ไม่เชื่อใจใครเลย
.
ไม่เชื่อปากหลากล้นที่คนกล่าว
มากเรื่องราวข่าวปล่อยคอยเพ้อพร่ำ
หรือมากสีมีเสียงร้อยเรียงนำ
ทั้งสูงต่ำคำอ้างสร้างศรัทธา
.
ไม่เชื่อใจใครเขาเราไม่เชื่อ
เค็มเหมือนเกลือเหลือนักช่างรักษา
ใจเชือดเฉือนเบือนบิดผิดกิริยา
ดั่งปากว่าตาขยิบขลิบมีดโกน
.
ไม่เชื่อจริงหญิงรักมักเผื่อเลือก
ล้วนกะเทาะเจาะเปลือกเลือกห้อยโหน
ฉาบยาพิษติดกายคล้ายอ่อนโยน
หากผาดโผนโดนร่างแทบปางตาย
.
ไม่เชื่อตนคนคิดว่าผิดถูก
อาจพันผูกลูกเล่นเช่นปองหมาย
อาจเพียงตาพาซื่อคือเสียดาย
จึงวุ่นวายกายใจไม่ปล่อยวาง
.
ไม่เชื่อว่าครานี้จะดีสม
อาจเหมือนลมพรมผ่านย่านฟ้าสาง
ชื่นเพียงครู่สู่แสงจำแลงทาง
อาจเพียงนางสร้างฝันอย่างบรรจง
.
ไม่เชื่อตนคนใดก็ไม่เชื่อ
ไม่มีเหลือเผื่อใครในประสงค์
ไม่เชื่ออินทร์ถิ่นใดไหนลอยลง
เพราะยังคงหลงเชื่อ..เมื่อเจอแดง..
.



แสงแห่งปรารถนา


แสงแห่งปรารถนา
.
ก้าวเดินเหินต่อไปไม่หยุดนิ่ง
วาดวางทางทุกสิ่งมิ่งสมร
ด้วยมุ่งปรุงเป้าหมายปลายแน่นอน
มากเหลือเจืออาวรณ์ร้อนอารมณ์
.
จับคือถือแขนครองสองฟันฝ่า
พร้อมเรียงเคียงกันพาหาสุขสม
ไม่ย่อท้อเมื่อเราเฝ้าชื่นชม
ไม่ถอยปล่อยให้ล่มจมวารี
.
ก้าวเคียงเรียงคู่กันมั่นมุ่งหมาย
ไม่คลอนก่อนถึงปลายสายวิถี
พร้อมมอบตอบรักล้นท้นฤดี
ด้วยมากหลากไมตรีที่ล้นทรวง
.
แล้วจึงถึงวันใหม่ใจเราพร้อม
เชิดหน้าฝ่าใดล้อมห้อมสู่สรวง
ไม่ถอยคอยให้ตนหม่นแดดวง
โน่นแสงแห่งผลพวงช่วงชัชวาล
.




กลบท  สิงโตเล่นหาง

มีการบังคับให้ใช้สระเสียงเดียวกัน “ซ้ำกัน ๒ คู่ อยู่ ณ กลางวรรค
ของทุกวรรค โดยให้มีคำมาคั่นระหว่างคำ ๒ คู่นั้น ๑ คำ

อยากเห็นนางตานี


อยากเห็นนางตานี
....
ก็เรื่องเล่าเขาว่าข้าฯ ต่อนิด
ตามเติมติดคิดคำนำให้หือ
ปากต่อปากหลากล้นเสียงคนลือ
สั้นไปหรือคือขอต่อให้ยาว
.
เป็นนางไม้ไพรพงกลางดงดิบ
ลึกไกลลิบขลิบฟ้าบางคราหนาว
เป็นไข้ป่าพาเพ้อเจอบางคราว
หลากเรื่องราวกล่าวขานบานบุรี
.
ฉันปลูกกล้วยในสวนล้วนหลากหลาย
มากเรียงรายคล้ายส่งเป็นดงผี
กล้วยน้ำว้าหาได้กล้วยไข่มี
กล้วยตานีนี้งามเป็นนามนวล
.
อยากเห็นนางบ้างหนอขอสักหน
สาวหน้ามนคนงามตามกระสวน
จะถางป่าฝ่าดินสิ้นขบวน
ปลูกให้ถ้วนล้วนด้วยกล้วยตานี
.
แต่ฉันไม่เคยเห็นเป็นฉันใด
สาวกล้วยไข่ไร้รอยล้วนถอยหนี
กล้วยน้ำว้าหาไหนก็ไม่มี
กล้วยเป็นผีที่เอ่ย..เอ๋ยอยากเจอ
.
หรือว่าฉันนั้นดวงมันลวงล่อ
ผีใดหนอก็ห่างทางเสนอ
ผีนางไม้ใครเห็นเป็นละเมอ
แต่ฉันเพ้อเผลอไผล..ยามไกลเมีย..
.



ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์


ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์
ว.ปล่อยไปตามเรื่องตามราว ไม่เอาเป็นธุระ
...
เหมือนปล่อยปละละเลยทำเฉยนิ่ง
ไม่สุงสิงสิ่งใดของใครเขา
ไม่อาทรร้อนรนบนใจเรา
ไม่มัวเมาเอาจิตเข้าชิดชม
.
ใช่ปล่อยวางทางธรรมที่นำสื่อ
ใช่ละมือยื้อบาปมาทาบถม
ใช่จากตนคนปล่อยลอยตามลม
ใช่อารมณ์บ่มทุกข์ที่คลุกกาย
.
หากปล่อยเลยตามเลยตนเฉยอยู่
ตัดร่วมหมู่ผู้อื่นยืนความหมาย
เหมือนไม่เห็นเป็นผลบนอุบาย
เหมือนดั่งคล้ายตายจากไม่มากความ
.
“ชั่วช่างชี” นี้เปรียบไม่เหยียบฝ่าย
เป็นเขตหมายชายคาว่าอย่าข้าม
ดี ชั่ววางอย่างชีมีใครตาม
จะสมนามงามชีมีเพียงตน
.
“ดีช่างสงฆ์” บ่งชี้ที่ปฏิบัติ
จะเคร่งครัด วัฏฏะกิจประสิทธิผล
หรือเพียงผ้ามาห่มถมกมล
หลอกเล่ห์กลล้นหลามก็ตามใจ
.
ปล่อยตามเรื่องเปลืองตนกมลหมาย
ปล่อยตามสายปลายทางจะอย่างไหน
ปล่อยพ้นผ่านการกิจปิดปลดไป
จะอะไรใครบ้างก็ช่างชี
.



๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๘