หน้าแรก

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คุณครู

 
ครูเป็นใครที่ไหนให้ประหลาด
ไม่ใช่ญาติไม่ใช่แซ่แต่แลเหลียว
เฝ้าห่วงหาอาวรณ์สอนนักเชียว
ถือไม้เรียวกำกับนับจำนวน

ไม่มาสายไม่หน่ายเรียนไม่เพียรลา
ให้ตั้งหน้าเรียนร่ำอย่าทำป่วน
สอนทุกอย่างอยากรู้สู่กระบวน
ยังทบทวนทุกครั้งหลังเลิกเรียน

ไม่เคยเหนื่อยเมื่อล้าในหน้าที่
สุดยินดีสอนคนวนขีดเขียน
ทั้งนอกห้องในห้องต้องพากเพียร
ไม่เคยเปลี่ยนทีท่าคำว่า “ครู”

จะเป็นใครก็พร้อมขอน้อมแล้ว
ท่านดุจแก้วแวววับจับสวยหรู
ในดวงใจ ใสซึ้งตรึงตราตรู
ความเป็น “ครู” คือญาติ..ไม่อาจลืม.
 

๐@ ~ สำนึกได้ หัวใจฉัน~ @๐


เมื่อความหลัง  ครั้งก่อนผุดย้อนย้ำ
เมื่อความหลัง ยังนำฉ่ำสุขี
เกินกลบเกลื่อน เลื่อนหายคลายฤดี
เกินกลบเกลื่อน เหมือนวจีมีรำพัน

ในหนึ่งช่วง ห้วงคิดถึงตราตรึงนัก
ในหนึ่งช่วง เจิดประจักษ์รักสุขสันต์
ยากจะลืม ปลื้มวางระหว่างกัน
ยากจะลืม รักนั้นผูกพันใจ

แต่ฉันทำ ห่างเหินคล้ายเดินจาก
แต่ฉันทำ ช้ำมากหลากเหลวไหล
รู้สึกผิด คิดสะท้อนร้อนดั่งไฟ
รู้สึกผิด สิ่งใดได้ทำลง

จึงคราวนี้ ที่หวังนั่งทวนทบ
จึงคราวนี้ ที่พบลบความหลง
เปิดใจรับ กับพลาดประกาศองค์
เปิดใจรับ ปรับปลงให้ตรงทาง

ยอมคืนกลับ นับย้อนอาวรณ์พร่ำ
ยอมคืนกลับ คืนคำไม่ทำห่าง
เพียงเธอให้ อภัยไม่จืดจาง
เพียงเธอให้ รักวางเหมือนอย่างเดิม

ขอบคุณใน น้ำจิตมิตรทุกเมื่อ
ขอบคุณใน เอื้อเฟื้อเผื่อฮึกเหิม
จะจำจด รสสุนทรอาวรณ์เติม
จะจำจด บทเสริมเติมน้ำใจ.
 
 

สำนึกได้ หัวใจฉัน

 
ให้รู้สึก ว่าผิดยามคิดย้อน
ให้รู้สึก รุ่มร้อนเฝ้าวอนหา
หวนคำนึง ถึงนางไม่สร่างซา
หวนคำนึง ถึงว่าสุดอาวรณ์

เธอคนนั้น  ฉันห่างเหมือนร้างหลบ
เธอคนนั้น เหมือนจบพบรักหลอน
ฉันมารู้ ภายหลังดั่งละคร
ฉันมารู้ บทตอนสะท้อนตน

แท้จริงแล้ว ตัวฉันมันไร้ค่า
แท้จริงแล้ว ตนหาพาใจหม่น
สำนึกได้ ภายหลังรั้งกมล
สำนึกได้ คล้ายล้นบนรำพึง

มันตอกย้ำ ความจริงสิ่งที่เกิด
มันตอกย้ำ ล้ำเลิศเปิดใจถึง
ว่าฉันผิด คิดล้างห่างตราตรึง
ว่าฉันผิด ใยจึงถึงห่างไกล

ฉันคิดถึง เธอมากอยากเผยผ่าน
ฉันคิดถึง ตลอดกาล สุดขานไข
แต่เก็บงำ ทำลืมไม่ปลื้มใจ
แต่เก็บงำ เอาไว้ไม่บอกเธอ

จนบัดนี้ ฉันรู้เป็นผู้แพ้
จนบัดนี้ เฝ้าชะแง้แลเสมอ
รักของฉัน ที่มีที่ละเมอ
รักของฉัน พร่ำเพ้อ..เธอคนเดียว.

 
กลบทภุมรินเชยทราบเกสร
 

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สิ่งที่เห็น

 
สองตามองส่องไสวได้เห็นเท่า
แต่ใครเล่าเข้าถึงซึ่งแสงสี
แล้วแต่ใครเห็นค่าว่าภาพดี
มโนนึกเช่นนี้..ที่ต่างกัน

เกินบังคับเค้นใครให้เห็นเท่า
จิตของเขาเข้าเสริมเติมเสกสรร
รู้ด้วยตนบนปัญญาพาจำนรรจ์
ปรับเปลี่ยนผันตามสื่อคืออารมณ์

สิ่งที่เห็นต่างกันนั้นใช่แน่
ต่างก็แปรเปรอปรนบนสุขสม
อาจไม่เหมือนดั่งใครหวังใจชม
เลยไม่เห็นหนึ่งปมที่คมคาย

แม้นมุ่งหวังสั่งชี้สิ่งที่เห็น
ว่าโดดเด่นเป็นหลักที่ปักหมาย
ก็ยังมีอื่นมองจ้องเลยกราย
ใช่เห็นคล้ายดั่งชี้ที่ให้มอง

จึงต่างคนต่างเห็นเช่นต่างจิต
จึงต่างคนต่างคิดติดสนอง
จึงต่างคนต่างรู้สู่ทำนอง
จึงต่างคนต่างปองฉลองกรรม

สิ่งที่เห็นหาใช่ที่ใครเห็น
นั้นเพราะเป็นปัญญาพาถลำ
ผู้รู้มากยากเหลือเชื่อใครนำ
ผู้รู้ต่ำช้ำเหลือ..เมื่อถูกลวง..

ดอกไม้..ในแจกัน

 
มองแจกันไร้ดอกชอกช้ำกว่า
เหมือนไร้ค่าวางไว้ไร้ความหมาย
เหมือนเศษซากกากเดนเข่นทำลาย
วางเดียวดายไร้มาลามาปักชม

มากลวดลายหลายแบบแยบยลนัก
บ้างสลักเส้นสายหมายสร้างสม
ให้คนมองจ้องติดคิดนิยม
รื่นอารมณ์ซื้อหามาครองเคียง

แต่..ถูกวางทิ้งร้างห่างประดับ
แจกันรับแต่เศร้าเฝ้าเฉลียง
ไม่เคยอยู่ในห้องถูกมองเมียง
ไร้แม้เสียงชมชื่นทุกคืนคอย

ล้วนฝุ่นผงดงแมลงแกล้งตอมไต่
กระอักไอใจเศร้าเฝ้าเหงาหงอย
ไร้ดูแลชะแง้หาน้ำตาปรอย
ให้ใจน้อยน้อยใจไยลืมลง

ทิ้งไปเถิดเกิดใจไม่สุขสม
ไม่นิยมไร้ค่าหาประสงค์
มีทำไมไม่สนองปองใจจง
ให้ปาส่งด้วยมือที่ซื้อมา

ด้วยเพราะใจไร้มั่นนั่นลืมหลง
ไม่มั่นคงตรงจิตตอนคิดหา
ใจโลเลเทท้นบนเมตตา
ไร้กรุณามองผิดจริตตน.
 
 
 
 
 
 

สวรรค์ชาวป่า

 
ฉันปลูกป่า..พวกเขาเฝ้าปลูกหญ้า
กวาดซื้อมาที่ทางอย่างมั่นหมาย
ล้มป่าใหญ่ไถดะระเรียงราย
ปรับเส้นสายเป็นสนามตามต้องการ

กี่พันไร่ผู้ใหญ่ไม่เห็นค่า
กี่พันป่าแผ้วถางอย่างอาจหาญ
กี่นายทุนขุนเขาเจ้าแหลกลาญ
กี่นายด่านที่ค้อมน้อมรับเงิน

ที่โอดครวญคือไพร่ใช่ไหมท่าน
ที่กันดารไร้ฝนทนขัดเขิน
ที่ต่ำต้อยน้อยค่าพากันเมิน
ที่เผชิญภัยวิบัติใครจัดการ

ปลูกต้นไม้ฉันปลูกมันทุกอย่าง
ไม่เคยอ้างเป็นข่าวได้กล่าวขาน
ผิดกับท่านผู้ใหญ่ใจประธาน
ถ้าออกงานไม่เป็นข่าวช่างร้าวใจ !

ช่างเถอะนะช่างมันฉันยังสู้
รอบบ้านดูเขียวครึ้มปลื้มไฉน
ดินที่ว่างวางสุมรุมปลูกไป
ส่วนบ้านใครเห็นด้วยคงช่วยทำ

ปล่อยให้ไฟมาลนคนถึงรู้
ช่างอดสู “มนุษย์” สุดจะขำ
คนผู้น้อยคอยสร้างต่างคอยจำ
คนผู้นำทำลาย...หมายว่าดี.
 

ปาก

 
หากถอนหมากออกไปให้ปากว่าง
หน้าคงต่างออกไปได้สวยศรี
เมื่อปากห่างคางยื่นอื่นใดมี
มองอีกทีปากยาวกว่าคราวใด

ริมฝีปากคงหดเข้าจดจ่อ
รูปแหลมต่อตรงปลายกรายแห่งไหน
แลเห็นเช่นปากกาพาหวั่นใจ
เอ่ยคำไขได้รื่นคนยืนงง

จะช่างจ้อเจรจากว่าคราก่อน
จะช่วยวอนช่วยเว้าเฝ้าไหลหลง
จะช่วยนำคำใครเติมใส่ลง
จะช่วยคงปากบอนได้ก่อนใคร

สามารถแต่งปากสวยด้วยสีสัน
ตามจังหวะคละกันวันแจ่มใส
จากปากเดียวปากดีที่พอใจ
เป็นปากใหม่ปากมีสีที่เลื่องลือ

เมื่อปากว่างหลายอย่างต่างอยากเข้า
ไปยึดเอาที่ข้าใครอย่าหือ
แย้งกันกินกันอยู่ดูอืดอือ
นานไปลือปากเหม็นเด่นกลิ่นโชย

จึงขอบอก อย่าถอน ก้อนหมากป๋า
เสียงวอนมายังน้อยคอยหวนโหย
ไม่พูดมากปากยาวปล่อยข่าวโปรย
ยามเดือนโรยโหยหวน ป่วนอุรา..
 

ไม่อาจรู้

 
มีบางอย่างถูกกั้นและปันแบ่ง
มีบางอย่างไร้แสงแห่งสีสัน
มีบางอย่างขีดเส้นให้เว้นวัน
มีบางอย่างที่ฉันนั้นคิดเอง

สิ่งที่ซุกซ่อนไว้, ใคร่ได้รู้
สิ่งที่อยู่สุขไฉน, ใครข่มเหง
สิ่งที่หวัง หวังไร, ใจตัวเอง
สิ่งที่เกรงคือไร, ใครระราน

ไม่อาจรู้ได้ซึ้ง..ถึงขื่นขม
ไม่อาจรู้นิยม..พรมคำขาน
ไม่อาจรู้ได้ซึ้ง..ถึงดวงมาน
ไม่อาจรู้ทรมาน..มานานนม

ได้เห็นเพียงภายนอก..ที่บอกจิต
ได้เห็นเพียงลิขิต..ติดคำขม
ได้เห็นเพียงตัดพ้อ..หนอเอวกลม
ได้เห็นเพียงอารมณ์..ผสมครวญ

จึงทำได้เท่านี้..นะที่รัก
จึงทำได้แค่ทัก..รักสงวน
จึงทำได้ไม่ดี..เท่าที่ควร
จึงทำได้ให้นวล..ต้องป่วนใจ

เปรียบตำราเปิดอ่าน..ยังซ่านจิต
เปรียบตำราไม่ปิด..ศิษย์หวั่นไหว
เปรียบตำราบอกแจ้ง..แทงลงไป
เปรียบตำราบอกไว้.. ไง..ยังงง.
 

คีตกานต์ พล่าผลาญจินต์

 
 
ดนตรีใดไหนรานมาผลาญพร่า
ล้วนสร้างมาเพื่อเพิ่มเติมสุขศานต์
บรรเลงกล่อมโลกนี้มีสำราญ
คีตกานต์ใดฆ่าล่าชีวี

เป็นสำเนียงเสียงร่ำจากช้ำจิต
เป็นลิขิตที่หมองต้องหลีกหนี
เพลงชีวิตผิดเสียงเรียงไม่ดี
ไม่ใยดีคีตกานต์ว่ารานรวน

ท่วงทำนองดนตรีคีย์กำกับ
ทั้งส่งรับขับเรียงเสียงสงวน
ต่างทำนองของคนล้นจำนวน
ต่างปั่นป่วนจากคีตกานต์สานบรรเลง

ยามมัวหมองหม่นไหม้โทษไปหมด
ยามกำสรดโทษดินฟ้ามาข่มเหง
ยามสุขกายสบายใจได้ครื้นเครง
ยามยิ้มเฉ่งข้าเก่งไม่เกรงใคร

คีตกานต์เขาอยู่มาคู่โลก
สุข,ทุกข์โศกยังอยู่ดูสดใส
จะบรรเลงเพลงจินต์จากชิ้นใด
ยังคงได้เสียงดีมีดั้งเดิม

แต่..อารมณ์ผสมจิตต่างผิดแปลก
มาจำแนกให้ต่างอย่างฮึกเหิม
ตามแต่ใจของตนค้นเพิ่มเติม
จนกล่าวเพิ่ม...คีตกานต์..พร่าผลาญจินต์.
 

กำแพงรัก

ในทุกศาสน์ปรารถนาพาความรัก
ให้ประจักษ์มวลชนคนสรรเสริญ
มีเยื่อใยไมตรีมิกล้ำเกิน
ต่างพาเดินสู่สุขไร้ทุกข์พาล

ความรักในหัวใจใครคนหนึ่ง
ที่บ่งถึงพิสุทธิ์สุดสถาน
จริงใจมอบต่อใครใสพิมาน
ไยเป็นการก่อจิตผิดวินัย

รักเพราะรักผิดหรือคือกล่าวอ้าง
รักถูกทางรักแท้แน่ไฉน
รักจริงนั้นฟันฝ่ากล้าเกินใคร
อยู่แดนไหนไม่หวั่นเมื่อมั่นคง

แยกความรักออกถือคือรักข้า
ศาสนาคือบ้านอย่าพาลหลง
เข้าอาศัยก่อสุขรุกดำรง
ยิ่งอ่าองค์ทั้งรักหลักศาสดา

ไม่อาจแยกหมู่ชนพ้นจากรัก
ต้องรู้จักปรับถ่ายหมายรักษา
จรรโลงไว้ได้หลักรักนำพา
ร้องต่อฟ้า...รักใช่ไหม...ไร้พรมแดน.

Line เส้นคั่น ชุดที่ 16